แม้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างมากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้ออาจพลิกกลับมาเร่งสูงขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความไม่แน่นอนของแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีทิศทางฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 1ครั้งในการประชุมกนง. วันที่ 2 ส.ค.คำพูดจาก เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์

หากวันที่2 ส.ค. 2566 กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.25% ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

 คาดการประชุมกนง.วันที่ 2 ส.ค.นี้ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

โดยปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงจากเอลนีโญและปัญหาความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าได้

นอกจากนี้แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงเผชิญความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองในประเทศและจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแรงลง

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าในช่วงครึ่งปีแรกโดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้กนง.มีแนวโน้มที่จะยังเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อในการประชุมกนง.ที่จะถึงนี้

อนึ่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน(policy space) สำหรับอนาคต หากมีสถานการณ์ที่ส่งผลให้กนง.จำเป็นต้องมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า

เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ส่งให้ดอกเบี้ยอเมริกาขึ้นสู่ระดับ 5.25-5.50%

้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมา จับตา Stagflation ตามมาติด ๆ

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมกนง. วันที่ 2 ส.ค.นี้อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายในอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ ขณะที่ หากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ตามที่คาดการณ์ไว้ กนง. มีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% ไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2566 นี้

ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงขณะที่ทิศทางเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะอยู่ในกรอบเป้าหมายของธปท. ที่ 1-3%

แม้ว่าอาจเร่งสูงขึ้นจากระดับใกล้ศูนย์ในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. ที่ผ่านมาประกอบกับธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก นำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)เริ่มเข้าใกล้จุดสูงสุดของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบนี้ ซึ่งส่งผลให้แรงกดดันต่อค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะลดลง

ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ในการประชุมวันที่ 2 ส.ค. นี้ อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ ขณะที่เมื่อมองไปข้างหน้า หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ตามที่คาดการณ์ไว้ กนง. มีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยนโยบาย่ที่ระดับ 2.25% ต่อเนื่องไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2566

By admin